วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สัปดาห์ที่10 วันที่16 ก.ค. 2552









ฮาร์ดดิสก์



ฮาร์ดดิสก์ หรือ จานบันทึกแบบแข็ง (hard disk) คืออุปกรณ์บรรจุข้อมูลแบบไม่ลบเลือน มีลักษณะเป็นจานโลหะที่เคลือบด้วยสารแม่เหล็กซึ่งหมุนอย่างรวดเร็วเมื่อทำงาน การติดตั้งเข้ากับตัวคอมพิวเตอร์สามารถทำได้ผ่านการต่อเข้ากับมาเธอร์บอร์ด (motherboard) ที่มีอินเตอร์เฟซแบบขนาน (PATA) , แบบอนุกรม (SATA) และแบบเล็ก (SCSI) ทั้งยังสามารถต่อเข้าเครื่องจากภายนอกได้ผ่านทางสายยูเอสบี, สายไฟร์ไวร์ของบริษัท Apple ที่เป็นที่รู้จักน้อยกว่า รวมไปถึงอินเตอร์เฟซอนุกรมแบบต่อนอก (eSATA) ซึ่งทำให้การใช้ฮาร์ดดิสก์ทำได้สะดวกยิ่งขึ้นเมื่อไม่มีคอมพิวเตอร์ถาวรเป็นของตนเอง ฮาร์ดดิสก์นั้นไม่ควรนำไปสับสนว่าเป็นสิ่งเดียวกับไดรฟว์ซึ่งถือเป็นยูนิตทั้งยูนิตในคอมพิวเตอร์ ประกอบไปด้วยจานบันทึกหลายอันด้วยกัน, หัวอ่านและบันทึกข้อมูล, วงจรอิเล็กทรอนิกส์ของไดรฟว์ และตัวมอเตอร์ ในขณะที่ฮาร์ดดิสก์ (หรือจานบันทึกนั่นเอง) นั้นเป็นแค่ตัวเก็บข้อมูลเท่านั้น ตั้งแต่เข้าสู่ช่วงคริสตศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา ฮาร์ดดิสก์สามารถพบได้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป ไม่เฉพาะภายในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ อีกด้วย เช่น เครื่องเล่นเอ็มพีสาม, เครื่องบันทึกภาพดิจิทัล, กล้องถ่ายรูป, คอมพิวเตอร์ขนาดพกพา (หรือ PDA) หรือแม้กระทั่งในโทรศัพท์มือถือบางรุ่นตั้งแต่ พ.ศ. 2548 (2005) เป็นต้นมา (ซัมซุงและโนเกียเป็นสองบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือรายแรกที่จำหน่ายโทรศัพท์มือถือที่มีฮาร์ดดิสก์) ความจุของฮาร์ดดิสก์โดยทั่วไปในปัจจุบันนั้นมีตั้งแต่ 20 ถึง 250 จิกะไบต์ ยิ่งมีความจุมาก ก็จะยิ่งทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยความต้องการของตลาดในปัจจุบันที่ต้องการแหล่งเก็บข้อมูลที่มีความจุในปริมาณมาก มีความน่าเชื่อถือในด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล และไม่จำเป็นต้องต่อเข้ากับอุปกรณ์ที่ใหญ่กว่าอันใดอันหนึ่งได้นำไปสู่ฮาร์ดดิสก์รูปแบบใหม่ต่างๆ เช่นกลุ่มจานบันทึกข้อมูลอิสระประกอบจำนวนมาก หรือระบบ RAID รวมไปถึงฮาร์ดดิสก์ที่มีลักษณะเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่าย เพื่อที่ผู้ใช้จะได้สามารถเข้าถึงข้อมูลในปริมาณมากได้ เช่นฮาร์ดแวร์ NAS (network attached storage หรืออุปกรณ์บรรจุข้อมูลเชื่อมต่อเครือข่าย) และระบบ SAN (storage area network หรือเครือข่ายบรรจุข้อมูลเป็นพื้นที่) เป็นต้น
ฮาร์ดดิสก์นั้นถูกประดิษฐ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2499 (1956) โดยนักประดิษฐ์ยุคบุกเบิกแห่งบริษัทไอบีเอ็ม เรย์โนล์ด จอห์นสัน ซึ่งในขณะนั้น ฮาร์ดดิสก์มีขนาดค่อนข้างใหญ่ มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 20 นิ้ว มีความจุเพียงระดับเมกะไบต์เท่านั้น (เทียบกับระดับจิกะไบต์ในปัจจุบัน ซึ่ง 1,000MB = 1GB). ตอนแรกใช้ชื่อว่า ฟิกส์ดิสก์ (fixed disk หรือจานบันทึกที่ติดอยู่กับที่) หรือ วินเชสเตอร์ (Winchesters) ซึ่งเป็นชื่อที่ IBM เรียกผลิตภัณฑ์ของพวกเขา, ต่อมาภายหลังจึงเรียกว่า ฮาร์ดดิสก์ (จานบันทึกแบบแข็ง) เพื่อจำแนกประเภทออกจาก ฟลอปปี้ดิสก์ (จานบันทึกแบบอ่อน)

หลักการทำงานของฮาร์ดดิสก์




หลักการบันทึกข้อมูลลงบนฮาร์ดดิสก์ไม่ได้แตกต่างจากการบันทึกลงบนเทปคาสเซ็ทเลย เพราะทั้งคู่ต้องใช้สารบันทึกคือสารแม่เหล็กเหมือนกัน สารแม่เหล็กนี้สามารถลบหรือเขียนได้ใหม่อยู่ตลอดเวลา โดยเมื่อบันทึกหรือเขียนไปแล้ว มันสามารถจำรูปแบบเดิมได้เป็นเวลาหลายปี มีความแตกต่างระหว่างเทปคาสเซ็ทกับฮาร์ดดิสก์ดังนี้

o
สารแม่เหล็กในเทปคาสเซ็ท ถูกเคลือบอยู่บนแผ่นพลาสติกขนาดเล็ก เป็นแถบยาว แต่ในฮาร์ดดิสก์ สารแม่เหล็กนี้ จะถูกเคลือบอยู่บนแผ่นแก้ว หรือแผ่นอะลูมิเนียมที่มีความเรียบมากจนเหมือนกับกระจก

o
สำหรับเทปคาสเซ็ท ถ้าคุณต้องการเข้าถึงข้อมูลในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง ก็จะต้องเลื่อนแผ่นเทปไปที่หัวอ่าน โดยการกรอเทป ซึ่งต้องใช้เวลาหลายนาที ถ้าเทปมีความยาวมาก แต่สำหรับฮาร์ดดิสก์ หัวอ่านสามารถเคลื่อนตัวไปหาตำแหน่งที่ต้องการในเกือบจะทันที

o
แผ่นเทปจะเคลื่อนที่ผ่านหัวอ่านเทปด้วยความเร็ว 2 นิ้วต่อวินาที (5.00 เซนติเมตรต่อวินาที) แต่สำหรับหัวอ่านของฮาร์ดดิสก์ จะวิ่งอยู่บนแผ่นบันทึกข้อมูล ที่ความเร็วในการหมุนถึง 3000 นิ้วต่อวินาที (ประมาณ 170 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือ 270 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)

o
ข้อมูลในฮาร์ดดิสก์เก็บอยู่ในรูปของโดเมนแม่เหล็ก ที่มีขนาดเล็กมากๆ เมื่อเทียบกับโดเมนของเทปแม่เหล็ก ขนาดของโดเมนนี้ยิ่งมีขนาดเล็กเท่าไร ความจุของฮาร์ดดิสก์จะยิ่งมีขนาดเพิ่มขึ้นเท่านั้น และสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ในเวลาสั้น
เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะปัจจุบันจะมีความจุของฮาร์ดดิสก์ประมาณ 40 ถึง 200 จิกะไบต์ ข้อมูลที่เก็บลงในฮาร์ดดิสก์ เก็บอยู่ในรูปของไฟล์ ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลที่เรียกว่า ไบต์ : ไบต์คือรหัส แอสกี้ ที่แสดงออกไปตัวอักษร รูปภาพ วีดีโอ และเสียง โดยที่ไบต์จำนวนมากมาย รวมกันเป็นคำสั่ง หรือโปรแกรมทางคอมพิวเตอร์ มีหัวอ่านของฮาร์ดดิสก์อ่านข้อมูลเหล่านี้ และนำข้อมูลออกมา ผ่านไปยังตัวประมวลผล เพื่อคำนวณและแปรผลต่อไป
เราสามารถคิดประสิทธิภาพของฮาร์ดดิสก์ได้ 2 ทางคือ

o
อัตราการไหลของข้อมูล ( Data rate) คือจำนวนไบต์ต่อวินาที ที่หัวอ่านของฮาร์ดดิสก์สามารถจะส่งไปให้กับซีพียูหรือตัวประมวลผล ซึ่งปกติมีอัตราประมาณ 5 ถึง 40 เมกะไบต์ต่อวินาที

o
เวลาค้นหา (Seek time) เวลาที่ข้อมูลถูกส่งไปให้กับซีพียู โดยปกติประมาณ 10 ถึง 20 มิลลิวินาที

การเก็บข้อมูล

ข้อมูลที่เก็บลงในฮาร์ดดิสก์จะอยู่บนเซกเตอร์และแทร็ก แทร็กเป็นรูปวงกลม ส่วนเซกเตอร์เป็นเสี้ยวหนึ่งของวงกลม อยู่ภายในแทร็กดังรูป แทร็กแสดงด้วยสีเหลือง ส่วนเซกเตอร์แสดงด้วยสีแดง ภายในเซกเตอร์จะมีจำนวนไบต์คงที่ ยกตัวอย่างเช่น 256 ถึง 512 ขึ้นอยู่กับว่าระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์จะจัดการแบ่งในลักษณะใด เซกเตอร์หลายๆ เซกเตอร์รวมกันเรียกว่า คลัสเตอร์ (Clusters) ขั้นตอน ฟอร์แมต ที่เรียกว่า การฟอร์แมตระดับต่ำ (Low -level format ) เป็นการสร้างแทร็กและเซกเตอร์ใหม่ ส่วนการฟอร์แมตระดับสูง (High-level format) ไม่ได้ไปยุ่งกับแทร็กหรือเซกเตอร์ แต่เป็นการเขียน FAT ซึ่งเป็นการเตรียมดิสก์เพื่อที่เก็บข้อมูลเท่านั้น

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สัปดาห์ที่9 วันที่ 9 กรกฎาคม 2552

เมนบอร์ด
เมนบอร์คืออะไร
เมนบอรด์ (Mainboard) หรือบางคนเรียกว่า มาร์เธอร์บอร์ด (Motherboard ) พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นแผงวงจรขนาดใหญ่ ซึ่งมีการเชื่อมต่อวงจรต่างๆ สำหรับอุปกรณ์หลายๆ ตัวเข้าด้วยกัน ดังตัวอย่างรูปภาพ
วิธีการเลือกซื้อ การเลือกซื้อเมนบอร์ดแต่ละครั้งนั้นสิ่งที่เราต้องดูมีอะไรบ้าง
*1. รูปแบบของเมนบอร์ด เป็นเมนบอร์ดแบบไหน โดยเขาแบ่งเป็น AT , ATX , MicroATX ,FlexATX สำหรับเมนบอร์ดรุ่นเก่าๆ นั้นเป็นแบบ ATA โดยพอร์ตหลายๆ อย่างต้องใช้สายเชื่อมต่ออีกครั้งหนึ่ง ต่อมาได้รับการปรับปรุงใหม่ให้เป็นแบบ ATX ที่เราใช้กันในปัจจุบันนี้ โดยคำนึงถึงการไหลเวลาของข้อมูลต่างๆ มากขึ้น โดยปรับให้มีการส่งข้อมูลได้เร็วกว่าเดิม พอร์ตต่างๆ มีการเปลี่ยนตำแหน่งจากเดิม โดยติดตั้งไว้แบบตายตัว ส่วน MicroATX กับ FlexATX นั้นเป็นเมนบอร์ดแบบ ATX ที่มีขนาดเล็ก โดยได้ตัดพอร์ตหลายๆ อย่างที่ไม่จำเป็นออกไป ทำให้มีขนาดเล็ก ออกแบบมาสำหรับเคสที่มีขนาดเล็ก และพีซีที่เน้นเรื่องพื้นที่ ส่วนการใช้งานต่างๆ ก็เหมือนเมนบอร์ดทั่วๆ ไป แต่มีข้อจำกัดในการอัพเกรดเครื่องเล็กน้อย เพราะว่าได้ตัดสล็อตต่างๆ ออกไปแล้ว แถมสล็อตสำหรับใส่หน่วยความจำก็มีน้อยด้วย ส่วนใหญ่จะมีแค่ 1 - 2 สล็อตATX FlexATX
*2. ซ็อกเก็ต / สล็อต (Socket /Slot )
ซ็อกเก็ต หรือสล็อตเป็นที่สำหรับใส่ซีพียู สาเหตุที่มีทั้งซ็อกเก็ต และสล็อต ก็คือ มีซีพียูอยู่หลายๆ แบบด้วยกัน ที่ใส่ซีพียูก็เลยต่างกันไป ซ็อกเก็ตมีหลายแบบ - ซ็อกเก็ต 7 สำหรับซีพียูเพนเทียม หรือเอเอ็มดี รุ่นเก่าๆ - ซ็อกเก็ต 370 ออกแบบมาสำหรับซีพียูเซลเลอรอน และเพนเทียมทรี รุ่นใหม่ที่ใช้แพ็กเกจแบบ FC-PGA- ซ็อกเก็ต 462 หรือ ซ็อกเก็ต A สำหรับซีพียูดูรอน และแอธลอน- ซ็อกเก็ต 423 สำหรับเพนเทียมโฟร์ - ซ็อกเก็ต 478 สำหรับเพนเทียมโฟร์ตัวล่าสุด- สล็อต 1 สำหรับเซลเรอลอนรุ่นเก่าๆ แล้วก็ซีพียูเพนเทียม ทู- สล็อต A สำหรับซีพียูแอธลอน - สล็อต 2 สำหรับซีพียู Intel? Pentium? II/III Xeon ใช้กับเซิรฟ์เวอร์
สำหรับปัจจุบันนี้ที่เรานิยมใช้กันก็คือ ซ็อกเก็ต 370 และซ็อกเก็ต A เนื่องจากมีซีพียูที่ใช้ซ็อกเก็ตทั้งสองแบบนี้ออกมาถล่มตลาดอย่างต่อเนื่องคือ เซลเรอลอน , เพนเทียมทรี , ดูรอน และแอธลอน ส่วนเพนเทียมโฟร์ นั้นยังไม่ค่อยนิยม เนื่องจากราคาแพง และประสิทธิภาพในการทำงานนั้นถ้าเทียบกับราคาแล้วยังถือว่าไม่คุ้มเมื่อนำมาใช้งานทั่วๆ ไป
*3. ชิปเซ็ต (Chipset) หัวใจของเมนบอร์ด
ชิปเซ็ตคืออะไร ชิปเซ็ตก็เป็นชิปสำหรับควบคุมการทำงานต่างๆ ของเมนบอร์ด เช่น ควบคุมระบบบัสของซีพียู หน่วยความจำ ระบบบัสของสล็อต รวมถึงการไหลเวียนของข้อมูลจากพอร์ตต่างๆ โดยชิปเซ็ตหลักๆ จะแบ่งเป็น Northbridge และ Southbridge แต่ละตัวจะแบ่งหน้าที่การทำงานอย่างชัดเจน สังเกตจากเมนบอร์ดจะมีชิปเซ็ตติดตั้งอยู่ 2 ที่ด้วยกัน แต่เมนบอร์ดบางรุ่นก็ติดตั้งชิปเซ็ตมาตัวเดียว หรือเราเรียกกันว่า Single Chip โดยจะทำหน้าที่เป็นทั้ง Northbridge และ Southbridge ซึ่งส่วนใหญ่ออกแบบมาใช้กับเมนบอร์ดที่มีขนาดเล็กประเภท FlexATX หรือ MicroATX
ชิปเซ็ตที่นิยมมาติดตั้งบนเมนบอร์ดก็มีเยอะ เช่น VIA , Intel , ALI , AMD เป็นต้น สำหรับชิปเซ็ตตัวไหนดีไม่ดียังไง คงต้องดูจากสเปกที่เมนบอร์ดจะระบุมาให้อยู่แล้ว โดยแต่ละตัวก็จะมีข้อดีแตกต่างกันไป
-North Bridge ต้องติดต่อกับอุปกรณ์ความเร็วสูงหลายอย่าง ได้แก่ CPU, Memory(100 Mhz. ขึ้นไป), AGP, PCI Express และส่งสัญญาน ที่ความเร็วน้อยกว่าครึ่งหนึ่งมา Control Chip South Bridge
-South Bridge ทำงานที่ความเร็วต่ำกว่า โดยติดต่อกับ PCI, IDE Controller, Network Device, USB Device , Floppy Disk Controller , Super I/O และ Memory (66-100 Mhz.)
*4. สล็อตสำหรับหน่วยความจำ
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นสล็อตสำหรับใส่หน่วยความจำนั่นเอง โดยจะแตกต่างกันไปตามแต่ว่าเมนบอร์ดแต่ละตัวสนับสนุนหน่วยความจำแบบใหม่ ในปัจจุบันนี้หน่วยความจำที่เราใช้ๆ กันก็มี SDRAM , DDR RAM ,RAMBUS นั่นเอง แต่ละแบบสล็อตก็จะแตกต่างกันไป
*5. สล็อตสำหรับเพิ่มเติมอุปกรณ์ต่างๆ
เป็นสล็อตที่ติดตั้งอยู่บนเมนบอร์ด ออกแบบมาให้เราใส่การ์ดเพิ่มเติมเข้าไป เช่น การ์ดเสียง การ์ดแสดงผล หรือการ์ดตัดต่อวิดีโอ โมเด็ม ต่างๆ สำหรับสล็อตบนเมนบอร์ดในปัจจุบันประกอบด้วย
ISA (Industry Standard Architecture ) เป็นสล็อตแบบเก่า ทำงานแบบ 16 บิต ตอนนี้บนเมนบอร์ดจะเหลือแค่ 1 - 2 สล็อตเท่านั้น บางรุ่นตัดทิ้งไปเลยก็มี เพราะอุปกรณ์ที่ออกมาในระยะหลังไม่มีการใช้สล็อตแบบนี้แล้ว
PCI (Peripheral Component Interconnect) เป็นสล็อตที่ได้รับการพัฒนาให้มีความเร็วในการทำงานมากยิ่งขึ้น โดยสามารถทำงานแบบ 32 บิต ปัจจุบันนี้ได้รับความนิยมมากที่สุด และผู้ผลิตอุปกรณ์ต่างๆ ก็ออกผลิตภัณฑ์ที่ใช้สล็อตแบบนี้มามากมาย เช่น โมเด็ม การ์ดตัดต่อวิดีโอ ซาวน์ดการ์ด เป็นต้น
AGP (Accelerated Graphics Port) ออกแบบมาสำหรับการ์ดแสดงผลโดยเฉพาะ โดยจุดเด่นของสล็อตแบบนี้ก็คือความเร็วนั่นเอง โดยจะแบ่งเป็นความเร็วในระดับ 1,2,4X โดยปัจจุบันการ์ดส่วนใหญ่จะสนับสนุน AGP โหมด 4X อยู่แล้ว โดย AGP จะทำงานแบบ 32 บิตที่ 66 เมกะเฮิรตซ์ โดยมีความเร็วในการถ่านโอนข้อมูลสำหรับโหมด 1X ที่ 266 เมกะบิตต่อวินาที 2X ที่ 533 เมกะบิตต่อวินาที ส่วน 4X ที่ 1.07 กิกะบิตต่อวินาที
CNR (Communication and Networking Riser). สล็อต CNR นี้ออกแบบโดย อินเทล ซึ่งเป็นสล็อตที่ออกแบบมาสำหรับอุปกรณ์โฮมเน็ตเวิร์ก ซึ่งได้รวมระบบแลน ออดิโอโมเด็ม เข้าไว้ด้วยกันเพื่อประหยัดต้นทุนในการผลิตการ์ดนั่นเอง โดยในขณะนี้เมืองไทยเรายังไม่นิยมใช้สล็อตแบบนี้ และยังหาอุปกรณ์ที่สนับสนุนสล็อต CNR ได้ยาก
AMR (Audio Modem Riser) เป็นสล็อตที่ออกแบบมาสำหรับอุปกรณ์ที่เราเรียกว่าออดิโอโมเด็ม เป็นโมเด็มที่มีขนาดเล็ก ซึ่งได้รวมเอาความสามารถในเรื่องของเสียงเอาไว้ด้วยโดยใส่ไว้ใน codecchip ทำให้เราประหยัดสล็อตอีกด้วย เพราะไม่ต้องทำการ์ดหลายๆ ตัว ทำให้มีสล็อตเหลือสำหรับอุปกรณ์อื่นๆ แต่ในขณะนี้ในเมืองไทยยังไม่นิยมใช้กันมากนัก
*6. พอร์ตต่างๆ
พอร์ตต่างๆ ที่ว่านี้ก็คือ พอร์ตที่อยู่ทางด้านหลังเครื่อง มีไว้สำหรับต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ เช่น คียบอร์ด เมาส์ ลำโพง หรืออุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ โดยพอร์ตมีอยู่หลายๆ แบบ เช่น
USB พอร์ตเป็นพอร์ตที่มีความเร็วถึง 12 เมกะบิตต่อวินาที ซึ่งในขณะนี้มีการพัฒนา USB 2.0 ออกมาแล้ว โดยทำความเร็วได้มากถึง 420-480 เมกะบิตต่อวินาที ตอนนี้มีอุปกรณ์ที่ออกมาสนับสนุน USB2.0 ยังน้อยอยู่ แต่คาดว่าน่าจะออกตามมาเรื่อยๆ เมนบอร์ดในปัจจุบันอย่างน้อยควรมี USB พอร์ต 2 พอร์ต แต่บางรุ่นก็มีให้เราเชื่อมต่อ USB ได้มากถึง 4 - 6 พอร์ตเลยทีเดียว
Parallel Port เป็นพอร์ตสำหรับต่อกับพรินเตอร์ สแกนเนอร์ หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่ออกแบบมาให้ใช้กับพาราเรลพอร์ต ส่วนโหมดมาตรฐานของ Parallel Port นั้นยังแบ่งเป็น ECP (Enhanced Capability Port) EPP (Enhanced Parallel Port) SPP (Standard Parallel Port) โดยเมนบอร์ดและอุปกรณ์ส่วนใหญ่สนับสนุน ECP และ EPP
Serial Port จะเป็นพอร์ตขนาดเล็ก สำหรับต่อกับอุปกรณ์เช่น โมเด็ม หรือเมาส์แบบเดิม โดยส่วนใหญ่จะติดตั้งมาให้ 2 พอร์ต
PS/2 Port พอร์ตแบบนี้ออกแบบมาใช้กับคีย์บอร์ดและเมาส ์โดยเฉพาะ ซึ่งทำให้ช่วยประหยัด Serial Port จะได้เอาไว้ต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ได้ เมนบอร์ดทุกตัวจะติดตั้งมาให้ 2 พอร์ตสำหรับเมาส์ และคียบอร์ด
MIDI Port / Game Port เป็นพอร์ตที่มักจะมากับการ์ดเสียง ออกแบบมาต่อกับอุปกรณ์ดนตรี เช่น อิเล็กโทน คียบอร์ด นอกจากนี้ยังใช้กับจอยสติ๊ก จอยแพดได้อีกด้วย
คอนเน็กเตอร์ (Connector)
คอนเน็กเตอร์ออกแบบมาสำหรับต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ผ่านทางสาย โดยจะมีอยู่บนเมนบอร์ดเต็มไปหมดเลย เริ่มด้วย
IDE CONNECTOR เป็นคอนเน็กเตอร์สำหรับต่อกับฮาร์ดดิสก์ หรืออุปกรณ์ IDE อื่นๆ เช่น CDROM , DVDROM โดยจะแบ่งการเชื่อมต่อเป็นแบบ ATA33 , 66 , 100 เป็นต้น บางยี่ห้อใฃ้ UDMA แทนคำว่า ATA ซึ่ง ATA นี้เป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อ ตัวเลขด้านหลังหมายถึง ความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลที่สนับสนุน เช่น ATA100 สามารถถ่ายโอนข้อมูลได้ถึง 100 เมกะไบต์ต่อวินาที แต่ว่าฮาร์ดดิสก์ที่เราใช้นั้นก็ต้องสนับสนุนการเชื่อมต่อแบบ ATA100 ถึงจะได้ความเร็วในระดับนี้
Floppy Connector เป็นคอนเน็กเตอร์สำหรับต่อกับฟลอปปี้ดิสก์ไดรฟ์ หรือไดรฟ์ A นั่นเอง โดยช่องนั้นจะมีขนาดเล็กว่า IDE Connector
USB Connector ออกแบบมาเพื่อให้สามารถเพิ่มเติม USB พอร์ตได้ภายหลัง โดยต่อต่อกับอุปกรณ์เพิ่มพอร์ต USB ส่วนใหญ่ติดตั้งไว้ด้านหน้าของเมนบอร์ดเพื่อต่อเข้ากับตัวเคสทางด้านหน้า สะดวกสำหรับต่อกับอุปกรณ์
IR Connector สำหรับต่อกับอุปกรณ์ประเภทอินฟาเรด เช่น การเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือ เข้ากับคอมพิวเตอร์ ซึ่งค่อนข้างหาซื้ออุปกรณ์มาต่อยากพอสมควร
WOL , WOM เป็นคอนเน็กเตอร์สำหรับต่อกับการ์ดแลน หรือโมเด็มโดยโมเด็ม หรือการ์ดแลนต้องสนับสนุนฟังก์ชันนี้ด้วย ประโยชน์ก็คือ สามารถสั่งเปิดเครื่องพีซีผ่านการ์ดต่างๆ เหล่านี้ได้
คอนเน็กเตอร์สำหรับสวิทซ์ และสายไฟต่างๆ บนเมนบอร์ดจะมีคอนเน็กเตอร์ต่างๆ เหล่านี้อยู่ โดยเป็นจุดสำหรับต่อสายจากเคส เช่น สายไฟสำหรับแสดงการทำงานของฮาร์ดดิสก์ หรือปิดเปิดเครื่อง สังเกตว่าจะมีการกระพริบของไฟ เมื่อมีการอ่านข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ โดยการต่อสายต่างๆ เหล่านี้ต้องอาศัยดูคู่มือ เพราะว่าค่อนข้างจะเยอะ และไม่เหมือนกันในแต่ละบอร์ด
*7. ไบออส
ไบออสเป็นส่วนที่เก็บค่าพื้นฐานต่างๆ ของเมนบอร์ดเอาไว้ เช่น ฮาร์ดดิสก์ที่ใช้ พอร์ต่างๆ ตำแหน่งของการ์ดต่างๆ โดยอาศัยไฟจากแบตเตอรี่ก้อนเล็กๆ เพื่อให้สามารถเก็บข้อมูลได้ตลอดเวลา โดยรวมถึงเวลาของเมนบอร์ด้วยซึ่งสังเกตได้ว่าถ้าแบตเตอรี่ของเมนบอร์ดหมดค่าต่างๆ จะกลับไปเริ่มใหม่หมด รวมถึงวันที่ต่างๆ ด้วย สำหรับไบออสก็จะเปิดชิปติดตั้งในเมนบอร์ด มีของหลายๆ ยีห้อเช่น intel , AMI ,Award , Phoneix แต่ละยี่ห้อก็จะแตกต่างกันไป โดยเราสามารถอัพเดพ หรือ Flash ไบออสได้เพิ่มปรับปรุงให้เมนบอร์ดรู้จักซีพียูใหม่ๆ หรือแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ
*8. อุปกรณ์ออนบอร์ด
อุปกรณ์ออนบอร์ดนั้นผู้ผลิตได้ติดตั้ง คอนโทรเลอร์ชิปลงไปบนเมนบอร์ดทำให้เราไม่ต้องซื้ออุปกรณ์ต่างๆ เพิ่มเติมอีก บางเมนบอร์ดติดตั้งมาให้ครบเลยตั้งแต่ การ์ดแสดงผล โมเด็ม ซาวน์ดการ์ด การ์ดแลน ครบชุดแถมราคาถูกอีก เมนบอร์ดในปัจจุบันส่วนใหญ่จะติดตั้งการ์ดเสียงมาบนเมนบอร์ดอยู่แล้ว ซึ่งถ้าเทียบคุณภาพเสียงกับการ์ดแยกต่างหากก็คงเทียบกันไม่ได้ แต่หลังๆ ก็มีเมนบอร์ดบางรุ่นปรับปรุงและใช้ชิปที่มีคุณภาพสูงขึ้น ทำให้เสียงดีขึ้น
จะว่าไปแล้วอุปกรณ์ออนบอรดก็มีข้อดีเหมือนกัน คือทำให้เราประหยัดเงิน และไม่ต้องมายุ่งยากติดตั้งการ์ดแต่ละตัวกันอีก แต่ก็มีข้อเสียเหมือนกันคือ การอัพเกรดค่อนข้างลำบาก เพราะเขาจะตัดสล็อตต่างๆ ที่ไม่จำเป็นออกไป และอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานที่หนักๆ ส่วนใหญ่เหมาะสำหรับใช้ในออฟฟิศมากกว่า

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สัปดาห์ที่8 วันที่2 กรกฎาคม พ.ศ.2552





1.ใส่แผ่นDVDบางครั้งอ่านไม่ได้
-ตรวจสอบดูว่า DVD สกปรกหรือเป็นรอยรึเปล่าแล้วใส่เข้าไปใหม่


2.บางครั้งกดสวิตซ์แล้วถาดใส่DVDไม่เลื่อนออกมา-เป็นเพราะสายพาน DVD-ROM หย่อนเกินควรจะเปลี่ยน
-หรืออาจใช้เหล็กเล็กๆพอดีรูแทงเข้าไปในรูด้านหน้าแล้วดึงออกมา


3.ใส่แผ่นไปแล้วDVD-ROMไม่อ่านแผ่น
-ตรวจสอบว่าแผ่นที่ใส่ไปเป็น บูเร หรือเปล่า เพราะDVD-ROMอ่าน บูเรไม่ได้-ตรวจสอบดูว่าใส่แผ่นกลับด้านหรือไม่


4.DVD-ROMเปิดไม่ได้ ไม่พบในMY COMPUTER "ไฟไม่เข้าควรทำอย่างไร
-ควรส่งซ่อมศูนย์ที่เราซื้อมา หรืออาจซื้อใหม่


5.DVD-ROM อ่านแผ่นช้าหรืออ่านแผ่นไม่ต่อเนื่อง
-เปลี่ยนหัวอ่านเพราะหัวอ่านอาจจะเสีย